ทักษะการฟังเป็นทักษะที่มีความสำคัญที่เด็กต้องเรียนรู้และเป็นพื้นฐานสำคัญในการเข้าสังคม เพราะการอยู่รวมกับคนอื่นในสังคมสำหรับเด็กแล้ว คงหนีไม่พ้นสังคมภายในโรงเรียน การที่เด็กได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียน เด็กยิ่งต้องรู้จักฟังและสื่อสารกับผู้คนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องฝึกตั้งแต่ในวัยเด็ก เพราะการฟังเป็นส่วนสำคัญของการพูด การอ่าน และการเขียน การฟังของเด็กจะรับรู้โดยประสาทสัมผัสทางหู แล้วคิดตามเรื่องราวที่ได้ยิน
จะทำให้เด็กเพิ่มพูนคำศัพท์และยังกระตุ้นให้เด็กใช้จินตนาการจากการฟังได้ดี ผู้ปกครองควรฝึกเด็กตั้งแต่ในวัยก่อนเข้าเรียนเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้และรู้จักฟังเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงพูด เสียงเพลง เสียงเคาะ หรือเสียงปรบมือเพื่อเป็นการกระตุ้นให้สมองของเด็กทำงาน ถ้าเด็กได้ฟังเสียงต่าง ๆ เด็กก็จะรู้จักคำมากขึ้น มีการใช้ความคิด การจับประเด็น ฝึกความจำและยังช่วยฝึกฝนในการใช้สมาธิจดจ่อแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ต้องเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้การฟังยังสอนให้เด็กเป็นผู้ฟังที่ดี มีความอดทนในการฟัง เพราะโดยธรรมชาติแล้วความอดทนรอคอยของเด็กจะมีน้อยกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้ปกครองและคุณครูควรฝึกให้เด็กเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังที่มีความอดทน โดยไม่เกิดความเบื่อหน่าย ซึ่งสามารถทำได้โดยการหากิจกรรมที่ฝึกการฟัง ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของในแต่ละวัน ให้เด็กได้ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ ด้วยกิจกรรมง่าย ๆ ดังนี้
การฟังนิทาน
วิธีง่าย ๆ เลยนะคะ ให้เด็กเลือกนิทานที่สนใจมา 1 เรื่อง และผู้ปกครองหรือคุณครู เล่าให้เด็กฟังแต่ต้องใช้เทคนิคอื่นเข้ามาแทรกเพื่อสร้างความเร้าใจ สนุกสนาน ตื่นเต้น โดยการให้ตัวละครแต่ละตัว มีโทนเสียงที่ต่างกันในการเล่าอาจประกอบไปด้วยเสียงดัง เสียงเบา ตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินจะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน และฟังอย่างตั้งใจมากขึ้น เมื่อเล่าจบผู้ปกครองควรให้เด็กมีส่วนร่วม โดยการตั้งคำถาม ถามเด็กเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งการถามแบบนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถประเมินเด็ก ได้ว่ามีความตั้งใจในการฟังหรือไม่ค่ะ เช่น
“นิทานที่ฟังจบไปแล้วมีชื่อเรื่องว่า..............................”
“ในเรื่องมีตัวละครอะไรบ้าง.....................”
“มีใคร....ทำอะไร......ที่ไหน......” เป็นต้น
การฟังเสียงของสิ่งต่าง ๆ
เช่น เสียงยานพาหนะ เสียงธรรมชาติ เสียงสัตว์ การฟังชนิดนี้เรียกว่าการฟังเพื่อจำแนกเสียง เด็กจะชอบและตั้งใจฟังเพื่อหาคำตอบว่าเสียงที่ได้ยินนั้น คือเสียงอะไร ในขั้นแรกแนะนำให้ผู้ปกครองนำภาพมาประกอบกับเสียงให้เด็กดูก่อนว่าเสียงนี้เป็นเสียงอะไร จากนั้นให้เด็กจำแนกและหยิบภาพตามเสียงที่ได้ยิน ก็จะยิ่งสนุกสนานค่ะ สำหรับเด็ก 5-6 ขวบอาจจะเพิ่มจำนวนเสียงที่หลากหลายมากขึ้นค่ะ
ปริศนาคำทายอะไรเอ่ย?
เป็นอีกกิจกรรมที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ เพราะเด็ก ๆ จะสนุกสนานในการแข่งกันทายเวลามีคำถาม เด็กจะครุ่นคิดและช่วยกันค้นหาคำตอบ เมื่อเด็ก ๆ ตอบถูกก็จะดีใจ อยากให้ถามคำถามข้อใหม่ต่อไป และในเด็กบางคนก็อยากจะลองตั้งคำถามให้คุณพ่อคุณแม่หรือเพื่อน ๆ ตอบคำถามที่ตัวเองถามบ้าง อันนี้ควรสนับสนุนให้เด็กได้ทำในสิ่งที่เด็กอยากทำเลยนะคะ เพราะจะช่วยในด้านกระบวนการคิดและส่งเสริมในการใช้ภาษาของเด็กเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
วิธีการเล่นปริศนาคำทาย
ในการเล่นสำหรับเด็กอายุ 2-3 ปี ผู้ปกครองควรเริ่มทายคำประมาณ 4 คำถาม ถ้าเด็ก ๆ ยังคิดหาคำตอบไม่คล่องครั้งต่อไปให้ผู้ปกครองใช้ปริศนาคำทายชุดเดิมให้เด็ก ๆ ทายซ้ำอีกครั้ง เมื่อเด็กทายได้แม่นยำมากขึ้น ผู้ปกครองสามารถถามคำทายใหม่อาจเพิ่มทีละ 4 คำทายนะคะ แต่สำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีนี้จะมีประสบการณ์เยอะเมื่อเราทายปัญหา เด็ก ๆ ก็อาจจะคิดหาคำตอบได้เร็วกว่าน้อง ๆ ที่อายุ 2-3 ปี อันนี้ผู้ปกครองสามารถเปลี่ยนชุดปริศนาคำทายให้เด็ก ๆ เล่นสลับไปมาได้เลยค่ะ
อย่าลืมว่าเราใช้กิจกรรม ปริศนาคำทาย เพื่อความสนุกสนานและให้เด็กผ่อนคลาย คั่นเวลาจากกิจกรรมที่เป็นวิชาการได้ดีทีเดียวค่ะ และเราก็มีปริศนาคำทายพร้อมบัตรคำให้ผู้ปกครองและคุณครูได้ดาวน์โหลด สำหรับนำไปใช้ในกิจกรรมด้วยนะคะ (ในการทายปริศนาผู้ปกครองหรือครูอาจจัดปริศนาคำทายแยกเป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นหมวดผลไม้ หมวดสัตว์ หมวดผัก หมวดยานพาหนะ ฯลฯ จะได้ง่ายต่อการถามและการเข้าใจของเด็กค่ะ)
คำแนะนำ
หากผู้ปกครองหรือคุณครูดาวน์โหลดบัตรคำมาทำกิจกรรมนั้น ถ้าเป็นกระดาษ A4 อาจจะไม่คงทนเล่นได้ไม่นาน แนะนำให้นำมาติดบนกระดาษที่แข็งกว่า เช่น กระดาษลังที่สามารถหาได้จากวัสดุเหลือใช้หรือติดบนกระดาษเทา - ขาว แล้วเคลือบด้วยสติกเกอร์ใสหรือแผ่นใสเคลือบรีดร้อน ขนาด A4
อ้อ! ถ้าใช้แผ่นเคลือบรีดร้อนแนะนำให้ตัดแผ่นภาพเป็นชิ้น แล้ววางบนแผ่นเคลือบใสให้มีระยะห่างของแต่ละแผ่นอย่างน้อย 1 เซนติเมตร เพื่อให้แผ่นเคลือบใสปิดสนิททั้งสี่ด้าน ที่สำคัญอย่าลืมตัดมุมให้โค้งมนนะคะ เพราะถ้าเป็นมุมเหลี่ยมอาจเกิดอันตรายกับเด็กจากความคมของมุมได้ค่ะ
ราคาวัสดุอุปกรณ์
- กระดาษเทา-ขาว ราคาแผ่นละ 10 บาท
- กระดาษแข็งเบอร์ 16 ราคาแผ่นละ 20 บาท
- สติกเกอร์ใส 53x70 เซนติเมตร ราคาแผ่นละ 30 บาท
พลาสติกเคลือบบัตรขนาด A4 ราคาแผ่นละ 7.50 บาท (โดยประมาณค่ะ เพราะส่วนใหญ่จะขายเป็นแพ็ค 1 แพ็คมี 10 แผ่นราคา 75 บาท ราคาอาจไม่เท่ากัน บางยี่ห้อก็จะแพงกว่าค่ะ) สามารถหาซื้อได้ที่ร้านศึกษาภัณฑ์ทั่วไปค่ะ
กิจกรรมที่กล่าวมาสามารถพัฒนาทั้งสติปัญญา การคิด ฝึกเรื่องการใช้คำถาม การอ่านและการจำแนกประเภทสิ่งของให้เป็นหมวดหมู่แล้ว ยังสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินในการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ มากมายค่ะ